(17 ธ.ค.) นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เดินทางลงพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามคำล่ำลือว่าเกษตรกรสมาชิกชมรมคนลุ่มน้ำพึ่งพาตนเองในพื้นที่บ้านบางดุก หมู่ 15 ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ปลูกส้มโอพันธุ์ “ทับทิมสยาม” สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตขายได้ต้นละกว่า 1 แสนบาทสร้างรายได้ในการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้งเกือบ 10 ล้านบาท และในแต่ละปีสามารถเก็บเกี่ยวส้มโอทับทับสยามได้ถึง 3-4 ครั้ง ทำให้เกษตรกรรายนี้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามปีเท่านั้น
โดยเมื่อนายพีระศักดิ์ เดินทางไปถึงพื้นที่บ้านบางดุก ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง ได้นายสมเกียรติ ทิศนุ่น อายุ 53 ปี หรือ “โกเกียรติ” เจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและ CK รีสอร์ท ในฐานะประธานชมรม ฅนลุ่มน้ำพึ่งพาตนเอง นายเชาวรัตน์ รักษาพล ยุ 48 ปี หรือ “ครูเชาว์ เขาทะลุ” นักจัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ และเจ้าของสวนเกษตรทฤษฏีใหม่ ครูเชาว์โชว์“ตามรอยพระเจ้าอยู่หัว”บ้านหนหย่อม ม.2 ต.หูล่อง อ.ปากพนัง เดินทางให้การต้อนรับและนำผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเดินทางไปยังบ้านเลขที่ 65/1 หมู่ 15 (บ้านบางดุก) ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านของนายวิรัตน์ สุขแสง อายุ 48 ปี หรือ “โกรัตน์” นักธุรกิจเกษตรกรเศรษฐีใหม่แห่งลุ่มน้ำปากพนัง เจ้าของสวนส้มโอทับทิมสยาม ชื่อสวนป้าแดง-ลุงแอ๊ด” โดยพบนายวิรัตน์ กำลังควบคุมดูแลคนงานเกือบ 30 คนที่ทำการคัดเลือกส้มโอทับทิมสยามและนำบรรจุกล่องเพื่อเตรียมส่งจำหน่ายต่างประเทศ อยู่ภายในบริเวณบ้าน
นายวิรัตน์ สุขแสง หรือ “โกรัตน์” เปิดเผยว่า ตนเป็นคนลุ่มน้เจ้าพระยา ได้ย้ายตามภรรยามาอยู่ลุ่มน้ำปากพนังที่ยึดอาชีพทำการเกษตรมาหลายชั่วอายุคน ส่วนใหญ่จะมีอาชีพทำนาปลุกข้าวและมีฐานะค่อนข้างยากจน จนกระทั้งมีโครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยพระองค์ทรงแนะให้เกษตรกรปลูกพืชหลาย ๆ ชนิด หรือ “ไร่นาสวนผสม” ตนมุ่งมั่น ทุ่มเทสุดชีวิตในการทำการเกษตรรูปแบบใหม่ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก จนกระทั้งชาวบ้านได้นำพันธุ์ส้มโอจาก จ.ปัตตานี ซึ่งชาวพื้นเรียกว่า “ส้มหัวจุก”มาทดลองปลูกในพื้นที่ “บ้านแสงวิมาน” ต.คลองน้อย อ.ปากพนังเป็นครั้งแรก พบว่าผลผลิตส้มหัวจุกมีสีเขียวเข้มและมี ขนาดใหญ่กว่าที่ปลูกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉลี่ยหนักลูกละประมาณ 1.5-1.8 กิโลกรัม ในตอนแรก ๆ เรียกว่า “ส้มโอพันธุ์เขียวมรกต หรือส้มโอแสงวิมาน” ส่วนเนื้อในมีเนื้อสีแดงเข้ม เหมือนสีทับทิม รสชาติหวานกลมกล่อม หอมติดจมูก เนื้อนุ่มน่ารับประทาน ในขณะที่เปลือกจะบางมาก ๆ ต่อมาจึงมีการตั้งชื่อใหม่ว่า “ส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม”
“อย่างไรก็ตามในช่วงแรก ๆ ผลผลิตแต่ละต้นจะไม่ดกมากนัก ราคาไม่ดี และยังเสี่ยงต่อความเสียหายจากน้ำท่วมพื้นที่ทุกปีที่สำคัญในพื้นที่น้ำจะท่วมขังนาน 2-3 เดือนทำให้รากส้มโอเน่า ทำให้ส้มโอเจริญเติบโตไม่เต็มที่ บางส่วนก็ยืนต้นตาย จึงพร้อมด้วยนายสำเร็จ กุลคง หรือ “ลุงแอ๊ด บางดุก”อายุ 75 ปีพ่อตา ได้ร่วมกันทุ่มเทศึกษา ค้นคว้าเพื่อปรับปรุงสายพันธุ์ และวิธีการปลูก การดูแลบำรุงรักษา รวมทั้งระบบการควบคุมน้ำ โดยทำการปลูกส้มโอทับทิมสยามและพันธุ์ทองดี 60 ไร่ เก็บเกี่ยวได้เต็มที่แล้ว 40 ไร่ ส่วนอีก 20 ไร่เพิ่งเริ่มเก็บเกี่ยวเป็นรุ่นแรก เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งส้มโอทับทิมสยามจะคัดได้ 4 ไซด์ จำหน่ายเป็นผล ๆ ละ 280,200,180 และ 150 บาทตามลำดับ สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจำหน่ายได้ปีละ 3-4 ครั้ง ส่วนพันธุ์ทองดีราคาเฉลี่ยผลละ 40-60 บาทตามขนาด สร้างรายได้ให้กับครอบครัวตนปีละหลายสิบล้านบาท”
หลังจากนั้นนายวิรัตน์ ได้นำผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชและคณะเดินทางเข้าไปชมสวน “ป้าแดง-ลุงแอ๊ด” เพื่อชมสวนส้มโอทับทิมสยามและพันธุ์ทองดี “สร้างความตื่นตา ตื่นใจให้กับผู้ว่า ฯเป็นอย่างมาก เนื่องจากส้มโอทับทิมสยามแต่ละตนให้ผลดกมาก โดยเฉลี่ยต้นละ400-700 ผล/ปี แต่ละต้นจนกิ่งรับน้ำหนักไม่ไหว ต้องนำไม้ไผ่มาทำเป็นไม้ค้ำช่วยรับน้ำหนักกิ่งส้มโอ เมื่อผู้ว่าราชการ ฯจังหวัดได้รับรายงานจากนายวิรัตน์ ฯว่าส้มโอทับทิมสยามในสวนของตัวเองเก็บเกี่ยวจำหน่ายได้มูลค่าต้นละประมาณ 1 แสนบาท/ปี ทำให้นายพีระศักดิ์ ถึงกับหูผึ่ง ตกใจแทบช็อค ชนิดแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า กล่าวว่า ส้มโอทับทิมสยามที่ปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังมีความเป็นพิเศษสุดยอดจริง ๆ เพราะพันธุ์เดียวกันหากนำไปปลูกในพื้นที่อื่น ๆ จะไม่ได้คุณภาพเหมือนปลูกในลุ่มน้ำปากพนัง จึงสรุปได้ว่า “ส้มโอทับทิมสยาม” มีแหล่งปลูกที่ได้คุณภาพมีเพียงพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังเพียงแห่งเดียวเท่านั้น โดยผลผลิตส่งจำหน่ายใน 5 ประเทศ ประกอบด้วย จีน (5 มณฑล)เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซียและฮ่องกง ในปัจจุบันมีเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังหันมาปลูกส้มโอทับทิมสยามเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ส้มโอทับทิมสยามยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ จึงนับเป็นโอกาสทองของเกษตรกรในลุ่มน้ำปากพนังที่จะหันมาปลูกส้มโอทับทิมสยามให้มากขึ้น แต่จำเป็นต้องปรึกษาหารือ หรือขอคำแนะนำจากนายวิรัตน์ สุขแสง และนายสำเร็จ กุลคง พ่อตานายวิรัตน์ ฯหรือปราชญ์เกษตรกรผู้ปลูกส้มโอทับทิมสยามจนประสบผลรายอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด
ในขณะที่นายสมเกียรติ ทิศนุ่น ประธานชมรม ฅนลุ่มน้ำพึ่งพาตนเอง กล่าวว่า ในปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ทั้งใน จ.นครศรีธรรมราช ประกอบด้วย อ.ปากพนัง หัวไทร เชียรใหญ่ ชะอวด และใน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง รวมทั้ง อ.ระโนด จ.สงขลา ตลอดจนลุ่มน้ำต่างๆจาก 27 ลุ่มน้ำได้รวมตัวกันเป็นชมรม ฅนลุ่มน้ำพึ่งพาตนเอง ฯ โดยรวบรวมเอาเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จประกอบอาชีพนักธุรกิจเกษตรกรในแต่ละประเภท อาทิ ปลูกส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม ส้มโอพันธุ์ทองดี ปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมือง ข้าวไข่มดริ้น ข้าวลืมผัว ข้าวหอมจันทร์ มะละกอ พริกไทย พริกขี้หนู ละมุด ขนุน มะพร้าว กล้วย เสวรส สละ ไผ่ มะนาว ฟักเขียว ฟักทอง ถั่วดาวอินคา เป็นต้นมาร่วมกันจัดทำหลักสูตรการปลูกพืชผลทางการเกษตรแต่ละประเภท ในแต่ละประเภทจะมีผู้เชี่ยวชาญหรือ “ปราชญ์ชาวบ้าน” เป็นผู้รับผิดชอบหลักสูตรละ 2-3 คนออกติดตามให้คำแนะตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ การปลูก การดูแลบำรุงรักษาอย่างใกล้ชิด
“คนลุ่มน้ำปากพนังส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหลายชั่วอายุคน ซึ่งหลายร้อยปีที่ผ่านมาเกษตรกรส่วนใหญ่มีฐานะยากจน จนถึงขั้นต้องอพยพละทิ้งถิ่นฐานไปหาที่อยู่และทำอาชีพใหม่ แต่ในปัจจุบันเชื่อว่าเราพบทางรอดสำหรับเกษตรกรชาวลุ่มน้ำปากพนังอย่างแท้จริงแล้ว เราจะเปลี่ยนการวิการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมมาเป็น “นักธุรกิจเกษตรกร” โดยเฉพาะส่งเสริมการปลูกส้มโอ “ทับทิมสยาม” ซึ่งเราได้ขุดพบเป็นอัญมณีหรือมหาสมบัติพันล้านที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แผ่นดินลุ่มน้ำปากพนังแล้ว โดยปากพนังเมืองอู่ข่าวอู่น้ำในอดีตจะได้กลับมาลืมตาอ้าปากได้อย่างแท้จริงเสีย”
นายสมเกียรติ หรือ “โกเกียรติ” กล่าวว่า ในอดีตตนประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างท่าเรือน้ำลึกของกรมเจ้าท่า งบประมาณโครงการละ 800-1,000 ล้าน เมื่อเสร็จสิ้นโครงการมีกำไรโครงการละไม่กี่สิบล้านบาท มาถึงวันนี้ผมหันมาทุ่มเทเรื่องการทำธุรกิจการเกษตร โดยเฉพาะปลูกส้มโอทับทิมสยามอย่างเต็มที่ พร้อมส่งเสริมให้สมาชิกชมรม ฯปลูกเพิ่มเติมในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังจำนวน 6,000 ต้นในระยะเวลา 3 ปี โดยปี 2558 ปลูกไปแล้ว 3,000 ต้นในพื้นที่ อ.ปากพนัง อ.ชะอวด อ.หัวไทร เชียรใหญ่ และในปี 2559 จำนวน 2,000 ต้น ส่วนปี 2560 อีก 1,000 ต้น
“ในส่วนของตนปลูกปาล์มประมาณ 200 ไร่อยู่ในระยะให้ผลผลิตพอดี แต่มานั่งคิดทบทวนลายตลบและเปรียบเทียบรายได้จากการปลูกปาล์มกับส้มโอทับทิมสยามมันแตกต่างกันมาก ส้มโอทับทีมสยามมีรายได้มากกว่าเป็น 10 เท่า อีกทั้งยังลงทุนน้อยกว่า การบำรุงดูแลรักษาและระยะเวลาการเก็บเกี่ยวก็น้อยกว่ามาก ตนจึงตัดสินใจขุดต้นปาล์มทั้ง 200 ไร่ทิ้งแล้วหันมาปลูกส้มโอทับทิมสยามแทนและมั่นใจว่าในระยะ 3-4 ปีเมื่อเก็บเกี่ยวส้มโอให้ผลผลิตสามารถจำหน่ายได้เต็มที่จะทำให้ตนมีรายได้จากการจำหน่ายส้มโอทับทิมสยามปีละนับร้อยล้านอย่างแน่นอน ”.
นายไพฑูรย์ อินทศิลา/ เพ็ญสวัสดิ์/นครศรีธรรมราช
17 ธันวาคม 2558