เหลือเชื่อ..!ในโลกยุคดิจิตอลยังพบหมู่บ้านเหมือนเมืองลับแลชาวบ้านอาศัยอยู่นานกว่า 70 ปีไม่มีไฟฟ้าใช้-การไฟฟ้าอนุมัติงบเกือบ 3 ล้านจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์และเสาไฟฟ้าแต่เจ้าหน้าที่อุทยาน ฯอ้างเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวงห้ามปักเสาไฟฟ้า-กฟภ.ทิ้งเสาไฟฟ้าพร้อมวัสดุอุปกรณ์กองเกลื่อนริมถนนนานกว่าปีครึ่งดำเนินการไม่ได้
(14 พ.ค.) ที่สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีตัวแทนชาวบ้านจากบ้านทุ่งใน หมู่ 8 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เดินทางเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว เนื่องจากชาวบ้านในหมู่บ้านจำนวน 38 ครัวเรือนรวมกว่า 100 คน ได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตเนื่องจากยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ทั้ง ๆ ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 2 ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 2.64 ล้านบาทจัดซื้อเสาไฟฟ้า พร้อมวัสดุ อุปกรณ์มากองไว้ริมถนนนานกว่า 1 ปีครึ่งแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันการดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จชาวบ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางเข้าไปตรวจสอบในพื้นพื้นที่พบว่าในหมู่บ้านมีถนนคอนกรีตลึกเข้าไปประมาณ 4.2 กม. โดยเมื่อชาวบ้านทราบว่ามีผู้สื่อข่าวเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านไม่เว้นคนเฒ่าคนแก่ ลูกเด็กเล็กแดง ออกจากบ้านมารวมตัวกันที่บ้านของนายจำนงค์ สงประเสริฐ อายุ 70 ปี เลขที่ 70/1 หมู่ 8 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะยกขบวนนำผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบเส้นทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งพบว่ามีการปักเสาไฟฟ้าเข้ามาจำนวน 23 เสา โดยมีเสาไฟฟ้าทั้งเสาแรงสูงและเสาแรงต่ำรวมกว่า 120 เสาวางเรียงไว้เป็นระยะตลอดเส้นทาง ในขณะที่วัสดุ อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ อาทิ ลูกถ้วย ไม้คอน เหล็กฉาก วางกองไว้ริมทางเป็นระยะโดยมีเถาวัลย์และต้นไม้ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด ซึ่งเมื่อชาวบ้านช่วยกันตัดถางตัดต้นไม้และเถาวัลย์ออกจนมองเห็นลูกถ้วยไฟฟ้าและวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ามกลางความแปลกใจและสงสัยของเด็กเล็ก ๆ ที่เข้าไปสอบถามพ่อแม่ ผู้ปกครองด้วยความสงสัยว่าสิ่งที่ชาวบ้านช่วยกันถางหญ้าและตัดฟันต้นไม้ออกจนพบ มันคืออะไร มาจากไหน เป็นลูกหรือส่วนไหนของเถาวัลย์หรือต้นไม้ เมื่อพ่อแม่ ผู้ปกครองตอบว่าเป็นเสาไฟฟ้า ลูกถ้วยไฟฟ้า ไม้คอน และเหล็กฉาก ยิ่งทำให้เด็ก ๆ งุนงงสงสัยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากไม่เคยรู้จักหรือพบเห็นที่ไหนมาก่อนและกลายเป็นของแปลกในความรู้สึกของเด็ก ๆ ต่างพากันไปมุงดูอย่างตื่นเต้น
นายวิโรจน์ มีมาก อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 228 /2 หมู่ 8 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่าตำบลนบพิตำ อ.นบพิตำ ประกอบด้วย ต หมู่บ้าน ในส่วนของหมู่ที่ 8 บ้านทุ่งใน เป็นพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลความเจริญมากที่สุด ชาวบ้านเข้ามาอยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่มานานกว่า 70 ปีแล้ว โดยครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านจำนวน 38 ครัวเรือน รวมกว่า 100 ชีวิตไม่เคยมีไฟฟ้าใช้ ต่อมาเมื่อปี 2549 รัฐบาลได้สนับสนุนติดตั้งติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ใช้ได้ไม่กี่ปีแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านเสื่อมสภาพและชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้ ชาวบ้านบางส่วนได้ซื้อเครื่องปั้นไฟขนาดเล็กมาใช้แต่ในปัจจุบันราคายาง ผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ตกต่ำ ประกอบกับค่าครองชีพสูงขึ้นจึงสู้ค่าน้ำมันไม่ไหว จึงอาศัยต้องทนอยู่กับท่ามกลางความมืดโดยในพื้นที่แค่เวลา 17.00 น.ก็มืดค่ำแล้ว ทุกบ้านต้องใช้เทียนจุดส่องสว่าง ลูกหลานจะทำการบ้านหรืออ่านหนังสือก็ลำบาก อ่านได้แค่ระยะเวลา 1 เล่มเทียนเท่านั้น การประกอบอาหารการกินก็ยุ่งยาก จะรีดผ้าก็ต้องใช้เตาใส่ถ่านแบบโบราณ จะออกไปกรีดยางแบตเตอรี่ขนาดเล็กก็ไม่มีที่ชาร์ตไฟ โทรศัพท์มือถือก็ไม่มีโอกาสใช้ ทุกอย่างยากลำบากไปหมด โดยชาวบ้านที่เดินทางออกนอกพื้นที่หรือต่างหมู่บ้านเห็นเขามีไฟฟ้าใช้กันอย่างทั่วถึงรู้สึกน้อยใจ เหมือนกับตัวเองอาศัยอยู่อีกเมืองหรืออีกประเทศหนึ่งที่ไม่ใช่ประเทศไทย คล้ายเมืองลับแลในตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาก็ว่าได้
“ในปี 2557 ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เข้ามาสำรวจเพื่อให้บริการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ภาคใต้เขต 2) นครศรีธรรมราชได้จัดสรรงบประมาณเดินไฟฟ้าเข้าหมู่บ้านจำนวน 2.64 ล้านบาทเศษ เจ้าหน้าที่ไฟฟ้าแจ้งว่าจะปักเสาไฟฟ้าแรงสูงจำนวน 100 ต้น เสาแรงต่ำ 50 ต้น และได้นำเสาไฟฟ้า พร้อมวัสดุ อุปกรณ์ เช่น ลูกถ้วยไฟฟ้า ไม้คอน เหล็กฉาก มาวางเรียงตลาดเส้นทางพร้อมเริ่มปักเสาไฟฟ้า ท่ามกลางความดีใจของชาวบ้านที่ต่างพากันไชโยโห่ร้อง แต่ต้องฝันสลายเพราะหลังจากเจ้าหน้าที่ปักเสาไฟฟ้าไปได้ 23 ต้น ทางเจ้าหน้าที่อุทยานได้มาสั่งให้หยุดปักเสา อ้างว่ามีความผิดตามกฎหมายเพราะเป็นพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ ฯเสียก่อน”
นายวิโรจน์ มีมาก กล่าวด้วยเสียงเศร้าสร้อยอีกว่า ชาวบ้านทำเรื่องผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับ อบต. อำเภอ จังหวัดแต่เรื่องก็เงียบหาย ไปติดตามเรื่องในแต่ละหน่ายงานนับ 10 ครั้งต่างบ่ายเบี่ยงโยนกันไปโยนกันมา โดยเฉพาะไปร้องเรียนขอความช่วยเหลือศูนย์ดำรงธรรมและไปติดตามความคืบหน้าก็ได้รับคำตอบว่าได้ส่งเรื่องไปตามขั้นตอนแล้ว แต่เมื่อไปถามอุทยานแห่งชาติกลับยืนยันว่าไม่เคยรับเรื่องจากศูนย์ดำรงธรรมเลย ในขณะที่ทางการไฟฟ้ายืนยันความพร้อมที่จะดำเนินการติดตั้งไฟฟ้าให้ชาวบ้านทันทีหากได้รับการอนุญาตจากอุทยาน ฯซึ่งที่ผ่านมาครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านไม่เคยได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกจากภาครัฐแม้แต่น้อย ขนาดประสบภัยพิบัติอุทกภัย วาตภัย ภูเขาถล่มถูกตัดขาดจากโลกภายนอกการช่วยเหลือทั้งภาครัฐและเอกชนไม่เคยเข้าไปถึง ชาวบ้านต้องช่วยเหลือตัวเองไปตามมีตามเกิด ผ่านมานายอำเภอ กี่ผู้ว่า ฯไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในพื้นที่แม้แต่คนเดียว เราไม่แน่ใจว่าหากพบนายอำเภอหรือผู้ว่า ฯเราจะรู้จักพวกท่านหรือไม่ ในปัจจุบันเขาเรียกว่าโลกยุคดิจิตอลแต่ลูกหลานที่นี่ไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้จักเครื่องใช้ไอทีทุกชนิด แม้แต่ลูกถ้วยไฟฟ้าก็ไม่เคยเห็นไม่รู้จัก สังคมไทยมันเหลือมล้ำกันราวฟ้ากับเหวลึก
ทางด้าน ด.ญ.สุดารัตน์ สงประเสริฐ อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป. 6 โรงเรียนบ้านโรงเหล็ก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านกว่า 20 กม. กล่าวว่า หนูชอบไปโรงเรียนเป็นอย่างมาก เพราะได้พบเห็นสิ่งที่ไม่มีในหมู่บ้าน ที่โรงเรียนมีโทรทัศน์ มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต สามารถเข้าไปดูและค้นคว้าข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่มีโทรศัพท์มือถือ เข้าไปเล่นเฟซบุ๊ค เล่นไลน์ และอื่น ๆ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแค่จะอ่านหนังสือ ทำการบ้าน ก็ยากลำบาก ต้องจุดเทียนไขให้แสงสว่างเพื่ออ่านหนังสือ หนูอยากมีโอกาสเข้าถึงโลกออนไลน์เหมือนเพื่อน ๆ เขาบ้าง จึงอยากเรียกร้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้โปรดเมตตาช่วยให้หมู่บ้านนี้ได้มีไฟฟ้าใช้เสียทีเถิด หนูขอวิงวอนไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ยื่นมือลงมาช่วยเหลือด้วย
“หนูทราบจากพ่อแม่ ผู้ปกครองว่าหลังจากที่ผู้สื่อข่าวเข้ามาทำข่าวในพื้นที่แล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า ชาวบ้านทั้ง 38 ครอบครัวทั้งคนเฒ่า คนแก่ และเด็ก ๆ ยกทั้งหมู่บ้านกว่า 100 ชีวิตจะเดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างเป็นทางการผ่านทางกองทัพภาคที่ 4 อีกครั้งหนึ่ง แต่หากยังไม่ประสบความสำเร็จ หนูและชาวบ้านทุกคนคงต้องทำใจไม่ขอเรียกร้องใครอีก” ด.ญ.สุดารัตน์ กล่าวอย่างน่าสงสารในที่สุด.
ไพฑูรย์ อินทศิลา /กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ /นครศรีธรรมราช
14 พ.ค. 2557