(24 ธ.ค.) นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า จากข้อมูลหน่วยเฝ้าระวังโรคของกลุ่มระบาดวิทยาและข่าวกรอง สคร.11 ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค 2557 - 6 ธ.ค. 2557 พบผู้ป่วยโรคตาแดง 15,288 ราย ไม่มีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิต และพบผู้ป่วยเพศหญิงมากว่าเพศชาย กลุ่มอายุที่พบสูงสุดคือ กลุ่มอายุ 5 - 9 ปี ส่วนใหญ่จะมีผู้ป่วยเป็นนักเรียน และจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือจังหวัดระนอง รองลงมาคือ จังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี ส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่ามีคนป่วยน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล กล่าวว่า อย่างไรก็ตามโรคตาแดง สามารถเกิดขึ้นกับคนทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งโรคตาแดงมีความเสี่ยงที่ระบาดได้ง่ายกว่าโรคอื่นๆโดยเฉพาะเด็กเล็ก ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งโรคตาแดงระบาดได้ง่ายจากการสัมผัส ที่ผ่านมาพบว่าหากคนในครอบครัวเป็นโรคตาแดง ก็จะระบาดไปยังคนในครอบครัวอย่างง่ายดาย สำหรับโรคตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อโรคจะอยู่ในน้ำสกปรก หรือลอยตามอากาศเป็นฝุ่นละอองเข้าตาโดยตรง หรืออาจจะติดมากับมือ และเมื่อเชื้อโรคเข้าตาจะทำให้ระคายเคืองตา ตาแดง มีขี้ตามาก หนังตาบวม ปวดตา ซึ่งโรคตาแดงอาจเป็นข้างหนึ่งข้างใดหรือจะเป็นทั้ง 2 ข้างก็ได้ โรคตาแดงติดต่อง่ายที่สุดจากการสัมผัส เช่น การสัมผัสกับน้ำตา ขี้ตา หรือสัมผัสของใช้ของผู้ป่วยโรคตาแดง เช่น ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดหน้า จึงอยากฝากผู้ป่วยที่เป็นโรคตาแดง หากเป็นนักเรียน นักศึกษา ก็หยุดเรียนประมาณ 7 วัน เพื่อป้องกันโรคติดต่อไปยังผู้อื่น และควรล้างมือด้วยน้ำที่สะอาดหรือใช้สบู่ควบคู่ด้วย และความล้างมือบ่อยๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างดี
“สำหรับวิธีรักษาโรคตาแดงจะใช้การรักษาตามลักษณะอาการของโรค เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสนี้โดยตรง ถ้ามีขี้ตามากก็หยอดยาปฎิชีวนะ หากมีไข้ เจ็บคอ ใช้ยาแก้อักเสบร่วมด้วยกับยาลดไข้ ยาลดปวด ผู้ป่วยโรคตาแดงต้องพยายามรักษาสุขภาพและพักผ่อนมาก ๆ โดยเฉพาะช่วงที่มีอาการตาแดงอย่างรุนแรง ไม่ควรทำงานดึกและควรนอนให้เพียงพอ เวลาออกนอกบ้านควรสวม แว่นกันแดด เพื่อป้องกันแสงโดยทั่วไปแล้วโรคตาแดงมักจะไม่ทำให้ปวดตามากหรือตามัว สิ่งที่ควรระวังคือ หากเป็นโรคนี้แล้วมีอาการปวดตามาก ตาแดงมาก ตามัว หรือมองสู้แสงไม่ได้ ควรรีบพบจักษุแพทย์ เนื่องจากอาจเป็นโรคอื่น เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ ซึ่งถ้าได้รับการรักษาช้าอาจเกิดความพิการอย่างถาวรของตาได้”.
ไพฑูรย์ อินทศิลา /กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ /นครศรีธรรมราช
24 ธ.ค. 2557