
(12 ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศจัดงาน “ชักพระออกพรรษา ทอดกฐินกินขนมจีนฟรี 1.000 กิโลกรัม” ที่วัดทุ่งแย้ ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 8 -12 ต.ค. 2557 มีประชาชนไปร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก และร่วมรำวงเวียนครก ทุกคืน เป็นจำนวนมากบรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน
สำหรับในคืนวันที่ 11 ต.ค.ภายในงานเป็นการจัดกิจกรรมมหกรรมมโนราห์ หรือ “โนรา” โดยศูนย์ฝึกมโนราห์วัดทุ่งแย้ ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้เชิญมโนราห์คณะดังในหลายจังหวัดของภาคใต้ ทั้งจาก จ.สงขลา จ.สุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช รวม 7 คณะอาทิ คณะมณฑา มณฑาศิลป์ คณะมโนราห์ อรอุมา ศ.มณฑาศิลป์ คณะมโนราห์ไข่น้อย ดาวจรัสศิลป์ คณะมโนราห์โจ๊ก ดาวรุ่ง คณะมโนราห์ดักดูด นครศรีธรรมราช คณะมโนราห์ปรียา-ดาราศิลป์ อัศวินกระดูกอ่อน คณะมโนราห์กฤษดา-ชาตรี พระแสงศิลป์ และคณะมโนราห์ของศูนย์ฝึกมโนราห์วัดทุ่งแย้

ซึ่งคณะมโนราห์ทั้งหมดได้ผลัดเปลี่ยนขึ้นเวทีร่ายรำกันจนถึงเวลา 01.00 น.ของวันที่ 12 ต.ค. 2557 ก็ถึงช่วงที่ทุกคนรอคอยพิธีกรรมมโนราห์ลุยไฟ หรือ “โนราลุยไฟ” โดยได้รับความสนใจประชาชนที่มารอชมเป็นจำนวนมาก โดยมีการก่อกองไฟกองใหญ่ขึ้นด้านหน้าเวที 1 กองล้อมรอบด้วยสายมงคลและผ้ายันต์ จากนั้นมโนราห์มณฑา มณฑาศิลป์ ซึ่งร่ายรำในบทของนางมโนราห์ภรรยาของพระสุธนที่กำลังจะถูกจับเผาไฟบูชายันต์ จึงออกอุบายขอปีกขอหางที่ถูกแม่ของพระสุธนกล่าวหาว่านางมโนราห์เป็นกาลีบ้านกาลีเมือง จึงถูกถอดปีกหางให้พรานบุญเก็บไว้ จากนั้นออกอุบายให้พระสุธนเข้าไปล่าสัตว์เพื่อจับนางมโนราห์เผาไฟบูชายันต์ นางมโนราห์จึงออกอุบายขอปีกและหางจากพรานบุญเพื่อร่ายรำถวายพระเพลิงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถูกเผาทั้งเป็น โดยพรานบุญหลงเชื่อจึงนำปีกและหางมามอบให้นางมโนราห์ ซึ่งนางมโนราห์ได้รายรำรอบกองเพลิงก่อนจะใช้จังหวะที่ทุกคนเผลอบินขึ้นฟ้าหลบหนีไป
หลังจากนั้นเป็นพิธีลุยไฟโดยคนที่รับบทเป็นตาพรานบุญจะเป็นร่างทรง ในขณะที่ปี่กลองมโนราห์จะเชิดด้วยตังหวะที่เร้าร้อน ซึ่งเป็นพิธีกาดครูตามแบบฉบับโบราณเพื่อเชื่อเชิญครูหมอหรือตาหลวงลุยไฟเข้าปรับทรง ซึ่งครูหมอมโนราห์หรือโนราห์ถือเป็นเทพที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่หลายองค์ เช่น แม่ศรีคงคา หรือแม่ศรีมาลา พ่อเทพสิงหร ขุนพราน ยาพราน พรานบุญ (หน้าทอง) พรานทิพ พรานเทพ พ่อขุนศรัทธา หลวงสุทธิ์ นายแสน หลวงคงวังเวน พระยาถมน้ำ พระยาลุยไฟ พระยาสายฟ้าฟาด พระยามือเหล็ก พระยามือไฟ ตาหลวงคง เป็นต้น แต่การประกอบพิธีในครั้งนี้จะมุ่งกาดเชื้อเชิญพระยาลุยไฟหรือ “พ่อตาลุยไฟ” เข้าประทับทรง โดยเมื่อพ่อตาลุยไฟเข้าประทับทรงร่างทรงซึ่งนุ่งผ้าสีขาวโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ เดินตีนเปล่า จะมีอาการตัวสั่น พูดเสียงดังและออกมาร่ายรำรอบ ๆกองไฟเตรียมเดิรลุยไฟที่ลุกโชนช่วง เปลวความร้อนแผ่กระจายไปรอบ ๆ กองไฟหลาย 10 เมตร
ในขณะที่ทุกคนเฝ้ารอการลุยไฟด้วยใจระทึกปรากฏว่าได้มีผู้หญิงที่มาชมการประกอบพิธีลุยไฟส่งเสียงร้องกรี๊ดและล้มลงดิ้นทุรนทุรายไปกับพื้น ทั้งนี้เนื่องจากผู้หญิงทั้ง 3 คนมีเชื้อครูหมอโนราห์ และจิตใจไม่เข้มแข็งพอทำให้ครูหมอโนราห์องค์อื่น ๆ เข้าประทับทรงจนคนเฒ่าคนแก่ต้องเข้าไปช่วยเหลือกันชุลมุนวุ่นวาย ก่อนจะนำทั้ง 3 ไปให้พระมงคล อุตตฺโม รักษาการเจ้าอาววัดทุ่งแย้ ประพรหมน้ำพระพุทธมนต์ให้ จึงหายเป็นปกติ และให้ญาติ ๆ นำกลับไปบ้าน ทั้งนี้ทำให้พิธีลุยไฟต้องหยุดชะงักลงเพราะถือว่าพิธีกรรมทั้งหมดได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว การประกอบพิธีต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด รวมทั้งต้องสุมฟืนก่อกองไฟกองใหม่ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประกอบพิธีกาดเชื้อเชิญพระยาลุยไฟหรือ “พ่อตาลุยไฟ” จึงเริ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ท่ามกลางประชาชนที่สนใจรอชมด้วยใจระทึก และเมื่อพ่อตาลุยไฟเข้าประทับทรงก็ทำการร่ายรำรอบกองไฟที่ลุกโชนร้อนแรง ก่อนจะเดินทางเข้าฝ่าเข้าไปในกองไฟอย่างน่าหวาดเสียว จากนั้นพ่อตาลุยไฟได้กระโดดกระทบดุ้นฟืนที่ไฟกำลังลุกไหม้พร้อมนอนกลิ้งไปมาบนกองไฟจนไฟมอดดับ พระยาลุยไฟจึงออกคำสั่งให้สุ่มไฟขึ้นมาใหม่ในขณะที่ชาวบ้านที่มามุ่งดูได้ช่วยกันสุ่มกองไฟและใช้น้ำมันเบนซินมาราดในกองไฟจนลุกโชนโชกร้อนแรง พ่อตาลุยไฟก็จะเดินฝ่ากองเพลิงเข้าไปนอนเกลือกลิ้งบนกองไฟจนไฟมอดดับ ทำเช่นนั้นอยู่หลายครั้งโดยที่ร่างทรงไม่โดนไฟไหม้หรือพุพองเพราะความร้อนของเปลวเพลิงแม้แต่น้อย ท่ามกลางความตกตะลึงของประชาชนจำนวนมากที่ร่วมชมพิธีนับ 100 คน

ในขณะที่นโนราห์มณฑา มณฑาศิลป์ ได้ประกาศว่าใครที่เจ็บป่วย มีโรคประจำตัวให้เข้าไปหาและบอกโรคและอาหารของโรคให้พ่อตาลุยไฟทราบเพื่อช่วยเหลือรักษาโรคร้ายโดยนำโรคต่าง ๆ ออกจากร่างปาเข้าไปเผาในกองเพลิง ซึ่งจะทำให้คนป่วยให้หายขาดจากป่วยในโรคนั้น ๆ ไปตลอดชีวิต โดยมีผู้ชมหลายคนเข้าไปให้พระยาลุยไฟช่วยรักษาโรคโดยเฉพาะโรคปวดเมื่อยตามร่างกาย หลังจากนั้นจึงมีการประกอบพิธีกาดเชื่อเชิญพระยาลุยไฟหรือพ่อลุยไฟออกจากร่างทรง โดยพบว่าร่างทรงมีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีร่องรอยไฟไหม้หรือแผลพุพองตามร่างกายแม้แต่น้อย นับเป็นเรื่องที่นาอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
มโนราห์มณฑา มณฑาศิลป์ เปิดเผยว่าพิธีกรรมที่เรียกว่า “มโนราห์ หรือ “โนราห์ลุยไฟ” เป็นศาสตร์แห่งครูหมดโนราห์ซึ่งเป็นพิธีการรักษาโรคของคนในสมัยโบราณที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานับพันปี โดยการลุยไฟเป็นการลุยไฟที่ร้อนแรงจริง ๆ ไม่ใช่เป็นการเล่นกลหรือใช้วิธีการตบตาหลอกลวงชาวบ้าน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพิธีกรรมดังกล่าวได้สูญหายไปหมดแล้ว แต่คณะมโนราห์ของตนและมโนราห์ “อรอุมา ศ.มณฑาศิลป์” บุตรสาวได้ยึดถือและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและไม่แน่ใจว่ามโนราห์คณะใดจะยังสามารถสืบทอดพิธีกรรมลุยไฟแบบนี้ได้อีกหรือไม่ อาจจะเหลือมโนราห์ลุยไฟของตนคณะเดียวในโลกก็ได้ และโชคดีที่ทางศูนย์ฝึกมโนราห์วัดทุ่งแย้ ได้ทำการฝึกฝนมโนราห์รุ่นใหม่ ๆ ซึ่งเป็นนักเรียน นักศึกษาโดยจะสืบทอดพิธีที่เรียกว่า มโนราห์ลุยไฟ”ให้คงอยู่สืบไป.
ไพฑูรย์ อินทศิลา /กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ /นครศรีธรรมราช
11 ต.ค. 2557