เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 28 ก.ย. 2557 ที่สนามหน้ากองบัญชาการกองทัพภาคที่ 5 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก พลเอก อัษรา เกิดผล เสนาธิการทหารบก และคณะ ได้เดินทางไปตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ เพื่ออำลาชีวิตการรับราชการทหาร ก่อนจะเข้าฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 4 โดยเฉพาะสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีนายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต. พลโทวลิต. โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมข้าราชการทหาร ตำรวจและพลเรือนร่วมให้การต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากเข้ารับฟังบรรยายสรุปในห้องประชุมจวน วรรณรัตน์ เสร็จสิ้นแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางลงมาเป็นประธานในพิธีบวงสรวงเปิดแพรคลุมป้ายพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและรัชกาลที่ 5 ซึ่งก่อสร้างและประดิฐฐานไว้บริเวณมุมสนามหน้ากองบัญชาการกองทัพภาคที่ 4 ทั้งฝั่งขาเข้าและขาออก โดยมีพระเทพวินยาภรณ์ รองเจ้าคณะภาค 16 และเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นประธานสงฆ์ ฃโดยมีพิธีพราหมณ์อ่านโองการบวงสรวงดวงวิญญาณของพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและรัชกาลที่ 5 หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำการกดบุ๋มเปิดแพรคลุมป้ายพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและรัชกาลที่ 5 และกองทหารเกียรติยศถวายความเคารพ ดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ พระสงฆ์สวดเจริญชัยมงคลคาถา เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า วันนี้เราเอาทั้งแผนงานโครงการ งบประมาณ และกำลังคนมาบูรณาการทำงานร่วมกัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะขับเคลื่อนการทำงานได้ดีขึ้น จากการบูรณาการทุกหน่วยงานมาร่วมกันทำงานทั้ง กอ.รมน.ส่วนหน้า ศอ.บต.และงานของหน่วยราชการปกติ โดยใช้งบประมาณของหน่วยงานทั้ง 3 ส่วนรวม 16 กระทรวง 77 หน่วยงานมาขับเคลื่อน โดยวางเป้าหมายการทำงานว่า 3 เดือนแรกจะต้องทำอะไร 3 เดือนต่อไปจะทำอะไร ซึ่งจะต้องมีผลงานอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนสามารถจับต้องได้
“ส่วนในเรื่องต่อไปคือการพูดคุยสันติสุข โดยผมขอใช้คำนี้เพราะที่ผ่านมาใช้คำพูดไม่ตรงเกรงจะมีปัญหากับความเข้าใจของโลกภายนอกทั้งโออีซี ทั้งยูเอ็นอะไรต่าง ๆ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นตนขอย้ำว่าเป็นปัญหาภายในของไทย โดยปัญหาอื่น ๆ หลายอย่างที่อาจจะทับซ้อนกันอยู่ ทั้งจากเรื่องอิทธิพล เรื่องยาเสพติดก็ต้องมาเคลียร์กัน อาจจะต้องใช้เวลาในการหาทางออกแก้ปัญหาให้ได้ ซึ่งวันนี้จะต้องมีการปรับในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้กำลังในระยะที่สอง ที่ต้องนำกำลังจากน้องพื้นที่เข้ามาทำงานด้วย โดยการนำนำกำลังจากนอกพื้นที่เข้ามาก็ต้องเตรียมการไม่อยู่ดี ๆ ก็ยกมาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ซึ่งบุคลากรในพื้นที่หลาย ๆ คนก็ทำงานกันมาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะท่านภาณุ อุทัยรัตน์ ผอ.ศอ.บต.ท่านเข้าใจปัญหาต่าง ๆ เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นการบูรณาการ ความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาก็น่าจะดีขึ้น”
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า วันนี้ตนอยากจะขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนทุกคน เพราะสื่อมวลชนสำคัญมากในการสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศ ขอให้ช่วยระมัดระวังในการนำเสนอข่าวนิดหนึ่ง เพราะถ้าเราพูดไม่ดี สื่อออกไปไม่ดี สื่อในต่างประเทศเอาไปขยายทำให้เจาใจว่าเรากำลังจะทำสงครามกับใคร ซึ่งมันไม่ใช่เราเพียงบังคับใช้กฎหมายเท่านั้นเอง และเราจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะนี้เขาบอกว่าเรื่องอัตลักษณ์เป็นเรื่องที่สำคัญก็ต้องว่ากันไป ทำให้มันถูกต้อง เราไม่เคยไปปิดกั้นใคร อะไรเลย ขอยืนยันว่านโยบายผม นโยบายฝ่ายรัฐไม่เคยไปปิดกั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่ว่าขอเถอะ ขอให้อยู่ภายใต้กฎหมายของเรา กฎหมายของไทย เราเป็นประเทศไทย กฎหมายมาตรา 1 เขียนไวว่าต้องเป็นหนึ่งเดียว เป็นรัฐ ๆ เดียว จะมาแบ่งแยกไม่ได้
“ส่วนเรื่องที่จะไปคุยกับรัฐบาลมาเลเซีย ผมจะไปคุยกับท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นเรื่องรัฐบาลต่อรัฐบาล เป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุยเพื่อความร่วมมือ เรื่องนี้กำลังทำขอให้ใจเย็น ๆ”.พล.อ.ประยุทธ กล่าวในที่สุด.
ไพฑูรย์ อินทศิลา /กัญญาณัฐ