(12 ส.ค.)ที่บริเวณบ้านคลองจุด หมู่ 11 ต.หัวไทร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ริมถนนสายนครศรีธรรมราช-สงขลา ดร.กณพ เกตุชาติ กรรมการผู้จัดการบริษัทเกษตรลุ่มน้ำ จำกัด เป็นประธานเปิดโครงการโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส แห่งที่ 2 หลังจากดำเนินเปิดแห่งแรกไปเมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมา โดยมีข้าราชการ นักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่นและเกษตรกรในพื้นที่ อ.หัวไทร และใกล้เคียงมาร่วมกิจกรรมเกือบ 1,000 คน ภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการและสาธิตการปลูกหญ้าเนเปียร์ให้กับผู้สนใจอีกด้วย
ดร.กณพ เกตุชาติ กล่าวว่า บริษัทเกษตรลุ่มน้ำ จำกัด ได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส ขนาด 1 เมกะวัตต์ เป็นแห่งแรกของจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่เลขที่ 193 หมู่ 3 ริมถนนสายนาพรุ-ท่าเรือ ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช โดยในกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มทุกแห่งจะมีการนึ่งปาล์ม ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งปฏิกูลและน้ำเสีย โดยตามปกติทางบริษัท ฯจะมีบ่อบำบัดด้วยธรรมชาติจำนวน 7 บ่อและใช้วิธีการใช้ทำการฝังกลบกำจัดน้ำเสีย
ต่อมาทางบริษัทเห็นว่าในภาคใต้มีความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุดประมาณวันละกว่า 2,000 เมกะวัตต์ และส่วนใหญ่เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าคือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความเสี่ยงที่ก๊าซธรรมชาติจะหมด โดยในภาคใต้ส่วนหนึ่งต้องซื้อกระแสไฟฟ้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านคือมาเลเซีย ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เอกชนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนจากพลังงานทดแทนต่าง ๆ ทั้งพลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานลม น้ำตก และแก๊สหรือก๊าซชีวภาพ ทางบริษัท ฯ จึงตัดสินใจก่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ กำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ ขึ้น โดยใช้งบประมาณก่อสร้าง 42 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารจากธนาคารทันที ใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปีครึ่ง โดยจัดซื้อเครื่องยนต์ขนาดใหญ่จำนวน 2 เครื่องจากประเทศจีน ทั้งนี้ในส่วนธนาคารพิจารณาเห็นว่าการให้กู้สร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สไม่เสี่ยงใด ๆ เลยเนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้เท่าไหร่ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะรับซื้อทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายในเวลา 4 ปี
กรรมการผู้จัดการบริษัทเกษตรลุ่มน้ำ จำกัด กล่าวอีกว่า สำหรับกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าจะนำกากทะลายปาล์ม น้ำและของเสียน้ำเสียจากกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มทั้งหมดมากักเก็บหมักรวมกันในบ่อปูนขนาดใหญ่ และนำเอามูลวัว หรือขี้วัวที่เลี้ยงไว้ในฟาร์มประมาณ 200 ตัวมาใส่ปนในถังหมักด้วย เมื่อจุลินทรีย์ย่อยสลายน้ำเสียของเสียก็จะเกิดก๊าซหลายชนิดในจำนวนนั้นเป็นก๊าซมีเทนอยู่ด้วย โดยจะนำในส่วนของก๊าซมีเทนมากรองก่อนจะส่งผ่านระบบท่อไปยังมอเตอร์เครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานก็จะไปหมุนเครื่องปั่นไฟ โดยกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพแห่งนี้จะผลิต 1 เมกะวัตต์/ชั่วโมง ส่งขายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
“นอกจากกากทะลายปาล์ม น้ำเสียจากโรงานสกัดปาล์มและสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ จะถูกนำมาสู่กระบวนการผลิตแก๊สชีวภาพแล้วทางโรงงานพบว่าหญ้าเนเปียร์ เป็นพืชที่นิยมนำมาหมักรวมกับสิ่งปฏิกูลอื่น ๆ ทำให้เกิดก๊าซมีเทนเพื่อใช้หมุนมอเตอร์เครื่องยนต์ผลิตกระแสไฟฟ้า ทางโรงงานจึงมีโครงการส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาใบ้พื้นที่รกร้างว่างเปล่า หรือพื้นที่นาข้าวมาปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อส่งขายให้กับบริษัทในราคาตันละ 700 บาท โดยการปลูกหญ้าเนเปียร์ทางบริษัทได้มีแปลงสาธิตอยู่ในพื้นที่ ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช และมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญไปแนะนำให้กับเกษตรกรทุกราย”
กรรมการผู้จัดการบริษัทเกษตรลุ่มน้ำ จำกัด กล่าวอีกว่า ในขณะนี้ประชาชนที่ประกอบอาชีพทำนาข้าวหรือทำการเกษตรประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ การหันมาปลูกหญ้าเนเปียร์ส่งขายให้บริษัทเกษตรลุ่มน้ำเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการการผลิตกรแสไฟฟ้า จึงเป็นทางออกที่จะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประชาชนที่สนใจได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงพลังงานส่งเสริมให้เกษตรปลูกหญ้าเนเปียร์จำหน่ายได้ในราคาตันละ 300 บาท ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงระยะเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 2 เดือนเศษหลังจากนั้นเก็บเกี่ยวได้ทั้งปีจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยปีละประมาณ 20,000/ไร่ แต่ตนและผู้บริหารบริษัทเกษตรลุ่มน้ำ จำกัดได้มาคิดคำนวณและแยกแยะรายละเอียดต่าง ๆ แล้วเห็นว่าทางบริษัทสามารถรับซื้อหญ้าเนเปียร์ได้ถึงกิโลกรัมละ 700 บาท สูงกว่าราคาที่กระทรวงพลังกำหนดกิโลกรัม 400 บาท จะทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการปลูกหญ้าเนเปียร์ปีละ 45,000 บาท/ไร่ ซึ่งสูงกว่าการปลูกข้าวเสียอีก
“การปลูกหญ้าเนเปียร์ เป็นการลงทุนที่ต่ำมาก ๆ และใช้ที่นารกร้างว่างเปล่า พื้นที่เสื่อมโทรมอื่น ๆ มาปลูกหญ้าเนเปียร์ เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรในพื้นที่อำเภอแถบลุ่มน้ำปากพนังได้มีโอกาสสร้างรายได้จากการปลูกหญ้าเนเปียร์อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ทางบริษัทเกษตรลุ่มน้ำ จำกัด จึงขยายโครงการโรงสกัดน้ำมันปาล์มและโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส มายังพื้นที่ ต.หัวไทร อ.หัวไทร เป็นแหล่งที่ 2 และเปิดรับซื้อปาล์มและหญ้าเนเปียร์ทันทีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งในระยะนี้เปิดเป็นลานเทรับซื้อปาล์มและหญ้าเนเปียร์ไปก่อน โดยปาล์มและหญ้าเนเปียร์ที่รับซื้อในจุดนี้ทางบริษัทจะขนถ่ายไปเข้าสู่กระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มและผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงการที่ 1 ต.ช้างซ้าย อ.พระพรม จ.นครศรีธรรมราช คาดว่าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สแห่งที่ 2 จะดำเนินการแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในเวลา 1 ปี”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรดานักธุรกิจ นักการเมืองและผู้นำท้องถิ่นรวมทั้งเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เคยประกอบอาชีพทำนาข้าว และทำการเกษตรอื่น ๆ ได้ให้ความสนใจที่จะปลูกหญ้าเนเปียร์อย่างกว้างขวาง เพราะปลูกง่าย ต้นทุนต่ำ รายได้ต่อไร่สูงกว่าการทำการเกษตรอื่น ๆ โดยเฉพาะการปลูกข้าวเสียอีก ส่วนใหญ่จึงตกลงที่จะหันมาใช้พื้นที่รกร้างว่างเปล่าหรือพื้นที่นาข้าวเดิมมาปลูกหญ้าเนเปียร์แทนการปลูกข้าว โดยหากผ่านฤดูกาลเก็บเกี่ยวฤดูกาลแรกไปแล้ว หากพบว่ามีรายได้สูงกว่าการปลูกข้าวก็ในปีต่อ ๆ ไปจะลดพื้นที่การทำนาข้าวหันมาปลูกหญ้าเนเปียร์ให้มากขึ้น.
ไพฑูรย์ อินทศิลา /กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ /นครศรีธรรมราช
12 ส.ค2557