จากรณีที่ที่นายเสกสันต์ นาคกลัด ชาวบ้านหมู่ที่ 2 บ้านจอมทอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ขุดพบศิวลึงค์ทองคำในถ้ำบนเขาพลีเมือง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นวัตถุโบราณช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-14 อายุกว่า 1,000 ปี ไปมอบให้กับกรมศิลปากรจำนวน 2 องค์ ทางกรมศิลปากรได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อตรวจพิสูจน์ จนสรุปได้ว่าศิวลึงค์ทองคำทั้ง 2 องค์ รวมทั้งองค์ประกอบ อาทิ แท่นหินที่ประดิษฐานองค์ศิวลึงค์ ผอบเงินบรรจุศิวลึงค์ แผ่นอิฐโบราณ ล้วนเป็นโบราณวัตถุแท้จริงและพบในแหล่งที่ใช้เป็นที่ประกอบพิธีฝังไว้ตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดู ไศวนิกาย ปรากฏร่องรอยหลักฐานการประดิษฐานศาสนาฮินดูและการสร้างศาสนสถานของศาสนานี้ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขต อ.สิชล และ อ.ท่าศาลา อยู่มากมายไม่น้อยกว่า 30 แห่ง เป็นที่รู้จักกันดี คือ แหล่งเขาคาใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วนายเสกสันต์ นาคกลัด ได้ขุดพบศิวลึงค์ทองคำมากถึง 4 องค์ โดย 2 องค์ที่เหลือในปัจจุบันอยู่ในครอบครองของเอกชน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2557 นี้ว่าที่บ้านของนายสุรินทร์ ชลสินธ์ รองประธาน อบต.สิชล ในท้องที่หมู่ 2 ต.สิชล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราชนายเสกสันต์ นาคกลัด ผู้ขุดพบศิวลึงค์ทองคำ ได้เดินทางเข้าพบสื่อมวลชนที่ไปติดตามทำข่าวในพื้นที่ เพื่อเปิดเผยและชี้แจงข้อมูลการขุดพบศิวลึงค์ทองคำ โดยมีนายไมตรี ดำแก้ว รองนายก อบต.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ร่วมวงสนทนาและรับฟังการชี้แจงด้วย
นายเสกสันต์ นาคกลัด กล่าวว่า ตนยอมรับว่าขุดพบศิวลึงค์ทองคำในถ้ำเขาพลีเมือง จำนวน 4 องค์จริง โดยครอบครัวของตนมีฐานะยากจน ยึดอาชีพหาของป่าและขุดขี้ค้างค้าวในถ้ำต่าง ๆ ขายกระสอบละ 40 บาทซึ่งส่วนใหญ่จะมีเพื่อนร่วมคณะจำนวน 4 คน จนเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนตนพร้อมเพื่อนได้มาขุดขี้ค้างค้าวในถ้ำเขาพลีเมือง แต่ทุกคนจะมีความรู้สึกถึงความเร้นลับและอาถรรพ์ของถ้ำเขาพลีเมือง จึงได้จุดธูปเทียนอธิฐานบอกกล่าวกับเทวดาฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตปกปักรักษาบริเวณถ้ำเขาพลีเมือง จนกระทั้งตนขุดพบแผ่นอิฐโบราณเหมือนเป็นแท่นอะไรสักอย่าง และตนใช้มืองัดแผ่นอิฐเบา ๆ แผ่นอิฐก็พังลงมาโดยภายในแผ่นอิฐพบมีการเจาะเป็นรูและมีผอบเงินภายในบรรจุศิวลึงค์ 1 องค์ ตนจึงอธิฐานบนบานบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าหากสิ่งที่พบเป็นสมบัติของตนในชาติปางก่อน หรือต้องการให้ตนเป็นผู้เก็บรักษาไว้ก็ให้ตนสามารถนำกลับไปบ้านด้วยความสะดวก แต่หากไม่ต้องการให้ตนเก็บรักษาก็ให้แสดงอภินิหารบ่งบอกให้รู้ว่าไม่ต้องการให้ตนนำไปเก็บรักษา
“หลังจากสิ้นคำอธิฐานได้มีดวงไฟสีเขียวพุ่งออกจากศิวลึงค์หายไปท่ามกลางความตกตะลึงของตนและเพื่อนอีก 3 คน ตนจึงอัญเชิญศิวลึงค์พร้อมแท่นประดิษฐาน ผอบ และแผ่นอิฐกลับไปบ้าน โดยยังไม่ทราบว่าศิวลึงค์ที่พบเป็นทองคำ หลังจากนั้นก็มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในครอบครัวของตนโดยเฉพาะตนถูกหวยต่อเนื่องกันถึง 10 งวด จึงนำศิวลึงค์ไปตรวจสอบจึงทราบว่าเป็นทองคำ”
นายเสกสันต์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามตนและเพื่อนยังยึดอาชีพขุดขี้ค้างคาวในถ้ำขายเหมือนเดิม โดยตนและเพื่อนจะตั้งจิตอธิฐานทุกครั้งที่เข้าไปขุดขี้ค้างคาวในถ้ำเขาพลีเมือง และเป็นเรื่องที่แปลกมากเมื่อในปีต่อ ๆ มาตนได้ขุดพบศิวลึงค์ชุดที่ 2 ชุดที่ 3 และชุดที่ 4 โดยเพื่อนที่ไปด้วยกันอีก 3 คนกลับขุดไม่พบ ตนจึงมั่นใจว่าศิวลึงค์และโบราณวัตถุที่พบจะต้องมีความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับตนโดยเฉพาะอย่างแน่นอน จนกระทั้งเรื่องทราบไปถึงนักวิชาการซึ่งเป็นอนุรักษ์และสะสมวัตถุโบราณเอกชนคนหนึ่งมาขอศิวลึงค์จากตนไปเก็บไว้บูชา 1 องค์ ให้ค่าตอบแทนตน 12,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรคนหนึ่งเขาเดินทางมาติดต่อขอให้ตนนำศิวลึงค์ทองคำ 2 องค์มอบให้กับกรมศิลปากร โดยทางกรมศิลปากรจะมอบเงินค่าตอบแทนให้จำนวนหนึ่ง และเขาขอศิวลึงค์ทองคำไปเก็บไว้บูชาส่วนตัวอีก 1 องค์ ตนก็ยินยอมเพราะคิดว่าศิวลึงค์ทองคำที่ตนขุดพบน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่สมควรที่จะเก็บไว้เพียงคนเดียว อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสชื่นชม และได้มีพิธีการมอบศิวลึงค์ให้อธิบดีกรมศิลปากรอย่างเป็นทางการตามที่เป็นข่าวกว้างขวาง โดยทางกรมศิลปากรได้มอบเงินตอบแทนให้ตน 1.5 แสน
สำหรับศิวลึงค์ทองคำที่พบ 4 องค์เหมือนกันทั้ง 4 องค์ แต่มีอยู่องค์หนึ่งมีองค์ประกอบครบถ้วน และดูสวยงามกว่าองค์อื่น ๆ เพราะมีส่วนประกอบครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดทั้งแท่นหินประดิษฐานศิวลึงค์ แต่อีก 3 องค์เป็นองค์ศิวลึงค์ทองคำที่วางอยู่ในผอบเงินไม่มีแท่นประดิษฐาน ซึ่งองค์ที่มีแท่นประดิษฐานเป็น 1 ใน 2 ที่ตนมอบให้กับกรมศิลปากร โดยทั้ง 2 องค์ที่อยู่ในครอบครองเอกชนจะไม่มีแท่นหินประดิษฐาน
นายเสกสันต์ นาคกลัด กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับการติดตามศิวลึงค์ทองคำ 2 องค์ที่อยู่ในมือเอกชนนั้น ทางกรมศิลปกรคงจะไม่ติดตามทวงคืนอย่างเอาเป็นเอาตายอีก เพราะถือว่าเป็นศิวลึงค์ที่พบในแหล่งเดียวกัน มีลักษณะเหมือนกัน ทำด้วยทองคำเหมือนกัน ซึ่งทางกรมศิลปากรได้รับไปแล้ว 2 องค์สามารถใช้เป็นหลักฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์ได้เหมือนกัน แต่หากเอกชนที่ครอบครองต้องการจะมอบให้เป็นสมบัติของชาติ สมบัติของส่วนรวมทางกรมศิลปากรก็ยินดีที่จะรับมอบและมอบเงินค่าตอบแทนให้ตามระเบียบของทางราชการ โดยในขณะนี้ทางกรมศิลปากรก็ทราบดีว่าศิวลึงค์ทองคำอีก 2 องค์อยู่กับใครที่ไหนหากต้องการจริง ๆ ก็คงจะตามขอคืนได้ไม่อยาก
ทางด้านนายสุรินทร์ ชลสินธ์ รองประธาน อบต.สิชล กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่าศิวลึงค์อีก 2 องค์หากกรมศิลปากรไม่สนใจที่จะติดตามกลับคืน ทาง อบต.สิชล และประชาชนชาว อ.สิชล อยากจะตามขอคืนจากเอกชนทั้ง 2 คนเอง เพราะอยากให้ศิวลึงค์ทองคำที่พบในพื้นที่ อ.สิชล ทั้งหมดเป็นสมบัติส่วนรวมของชาติ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องราคาค่าตอบแทนที่จะแลกกับศิวลึงค์อาจจะสูงขึ้นหลายเท่าตัว แต่ตนคิดว่าทางอำเภอสิชล อาจจะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ทั้งหมดรวมทั้งประชาชนรวมกันสมทบทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการขอคืน ศิวลึงค์ 2 องค์ดังกล่าว
ส่วนนายไมตรี ดำแก้ว รองนายก อบต.สิชล กล่าวว่า เชื่อว่าชาวสิชล จะให้ความร่วมมือในการบริจาคเงินสมทบทุนเป็นค่าใช้จ่ายขอคืนศิวลึงค์ 2 องค์จากเอิกชนที่ครอบครอง อย่างน้อยชาวสิชลจะได้ภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสมบัติล้ำค่าของชาติ โดยทางอำเภอ หรือ อบต.สิชล น่าจะมีโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขึ้นในพื้นที่ เพื่อรวบรวมเอาโบราณวัตถุทั้งในทางศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู และทางพุทธศาสนาที่พบในพื้นที่จำนวนมาก บางส่วนเก็บรักษาอยู่ที่วัดจอมทอง ในเบื้องต้นพระอธิการถาวร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดจอมทอง ก็เห็นด้วยและพร้อมที่จะมอบโบราณวัตถุที่มีอายุตั้งแต่ 300 ปีขึ้นไปที่ทางวัดเก็บไว้ให้นำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น และในอนาคตจะต้องมีการพัฒนาให้พื้นที่ ต.สิชล เป็นแหล่งท่องเที่ยวและศึกษาประวัติศาสตร์ มั่นใจว่าประโยชน์ตกอยู่กับพื้นที่และประชาชนอย่างมหาศาลแน่นอน.
ไพฑูรย์ อินทศิลา /สายัณห์ ศรีใหม่ /กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ /นครศรีธรรมราช
5 เม.ย. 2557