จากกรณี น.ส. จิตธิมา พิพัฒน์กิจไพศาล อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17/7 ซอย 5 ถนนบำรุงราษฎร์ ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง พร้อมครอบครัวเข้ามาปักหลักทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องเซรามิกบริเวณ สี่แยกทางไปวัดโบสถ์ ถนนพัฒนาการคูขวา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชน ขอให้ช่วยประสานและเร่งติดตามคดีฆ่านายสุทัศน์ หรือตุ้ย สวนลำไย อายุ 29 ปี น้าชายเสียชีวิต เหตุภายในแผงขายเซรามิกริมถนนพัฒนาการคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อคืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 22.30 น. ที่ผ่านมา โดยได้นำคลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิดมอบให้ไว้เป็นหลักฐาน ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2557 นี้ว่าครอบครัวของ น.ส.จิตธิมา พิพัฒน์กิจไพศาล ได้ตัดสินใจยกเลิกกิจการในจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้นำรถบรรทุกสิบล้อพ่วงนำวน 2 คัน พร้อมคนงานกว่า 10 คนมาช่วยกันทยอยขนย้ายเครื่องเซรามิกตั้งแต่วันที่ 17-18 มี.ค. 2557 ที่ผ่านมา และออกเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเดิมที่จังหวัดลำปางบ้านเกิด เนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพลเถื่อนจนไม่กล้าอยู่ทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องเซรามิกในจังหวัดนครศรีธรรมราชอีกต่อไป
โดยนางนก พิพัฒน์กิจไพศาล อายุ 40 ปี มารดาของ น.ส. จิตธิมา กล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยหลังจากกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 15 คน บุกเข้ามารุมทำร้ายนายสุทัศน์ สวนลำไย หลานชายตนจนเสียชีวิต และนายสุเมธ องอาจ อายุ 44 ปี พนักงานรักษาความปลอดภัยของธนาคารเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามอบตัวกับตำรวจยอมรับสารภาพว่าทำเพียงคนเดียวคนอื่น ๆ ไม่เกี่ยวข้อง และตำรวจตามจับคนขับรถให้นายสุเมธ ได้และทั้งคู่ได้รับการประกันตัวไปแล้ว หลังจากนั้นได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มเดียวกันกับที่บุกเข้ามารุมทำร้าย นายสุทัศน์จนเสียชีวิต ได้วนเวียนมาคุกคามข่มขู่ลูกสาวและลูกชายของตนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตนและครอบครัวคิดว่าจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่สามารถมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์พอที่จะอยู่ทำธุรกิจและอาศัยต่อไป จึงตัดสินใจเลิกกิจการกลับไปยังบ้านเกิดที่ จ.ลำปาง
“ครอบครัวของตนเข้าเช่าพื้นที่ริมถนนกลางเมืองนครศรีธรรมราชเกือบ 1 ไร่ ทำธุรกิจเปิดกิจการจำหน่ายเซรามิกมานานกว่า 5 ปีแล้ว ซึ่งมียอดจำหน่ายปีละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท จนกระทั่งกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามารุมทำร้ายนายสุทัศน์ สวนลำไย หลานชายเสียชีวิตอย่างอุกอาจ โดยภาพจากกล้องวงจรปิด ของทางเทศบาลนครนครศรีธรรมราชที่สามารรถจับภาพเอาไว้ได้ชัดเจนว่ากลุ่มคนร้ายมีมากถึง 10-15 คน และเป็นที่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชทั้งหมด ในขณะที่พวกตนเป็นคนต่างถิ่นเข้ามาทำมาหากินในจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่กลับถูกกระทำย่ำยีจนต้องสังเวยชีวิตไปอย่างโหดร้ายทารุณ ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ตำรวจและกฎหมายแทบจะจัดการกับอันธพาลกลุ่มนี้ไม่ได้ ไม่สามารถดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับครอบครัวของตนได้”
นางนก กล่าวอีกว่า “ธุรกิจจำหน่ายเครื่องเซรามิกของตนไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก โดยแยกย้ายไปเปิดร้านจำหน่ายในจังหวัดต่าง ๆ ปัจจุบันเปิดสาขาประจำทั้งสิ้น 5 สาขาใน 5 จังหวัด แต่ละสาขาจะจ้างคนงานในพื้นที่มาร่วมทำงานด้วย เป็นการสร้างงานสร้างอาชีพและรายได้ให้กับจังหวัดนั้น ๆ โดยเฉพาะสาขาจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกจ้างประจำภายในร้านเป็นลูกหลานคนนครศรีธรรมราชกว่า 10 คน ในช่วงที่มีการขนสินค้ามาลงที่ร้านก็จะว่าจ้างคนงานในพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อลงสินค้าจากรถบรรทุกไม่ต่ำกว่า 20 คน รวมทั้งกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุก็มารับจ้างลงสินค้าที่ร้านของตนด้วย แต่มีบางคนที่นิสัยไม่ดีแอบขโมยสินค้าตนจึงไม่ว่าจ้างให้มาลงสินค้าอีก ทำให้เขาไม่พอใจพาพรรคพวกมาก่อเหตุรุมทำร้ายนายสุทัศน์ จนเสียชีวิตและทุบตีทำลายเครื่องเซรามิกจนเสียหายมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท
“ก่อนที่ครอบครัวของตนจะไปจากจังหวัดนครศรีธรรมราชตนอยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายสุทัศน์ ผู้ตาย อย่าให้คนร้ายลอยนวล อย่าให้คนตายเขาตายฟรี ขอให้ตำรวจติดตามจับกุมตัวผู้ที่ร่วมก่อเหตุมาดำเนินคดีทุกคน ไม่ใช่ดำเนินคดีแค่คนสองคนเท่านั้น ที่สำคัญเชื่อว่าคดีนี้จะมีการวิ่งเต้นจนคนร้ายทุกคนพ้นผิดไม่ได้รับการลงโทษตามกฎหมายอย่างแน่นอน และขอฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจังตรงไปตรงมา สามารถดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับคนต่างถิ่นที่เข้ามาทำธุรกิจในพื้นที่ได้ หากปล่อยให้นักเลงหรืออิทธิพลเถื่อนในพื้นที่รุมทำร้ายรังแกคนที่มาจากต่างถิ่นเหมือนกรณีของครอบครัวของตนจะส่งผลกระทบภาพลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อไปจะมีใครกล้ามาลงทุน มาท่องเที่ยวในจังหวัดนครศรีธรรมราช น่าเสียดายที่นครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดใหญ่ และมีแนวโน้มจะเติบโตเป็นที่สนใจของนักลงทุนและนักท่องเที่ยว แต่หากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปล่อยให้เป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นเมืองที่มีคดีอาชญากรรมร้ายแรงสูง มีอิทธิพลข่มขู่คุกคามคนต่างถิ่น ความเจริญเติบโตในอนาคตของนครศรีธรรมราชคงเกิดขึ้นได้อยาก เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก” นางนก กล่าวในที่สุด.
ไพฑูรย์ อินทศิลา /กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ /นครศรีธรรมราช
19 มี.ค. 2557