ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2557 นี้ว่าชาวบ้านใน ต.ท่าดี อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ได้ร้องเรียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชตรวจสอบการนักการเมืองท้องถิ่นลักลอบขุดดินและทรายในคลองท่าดี บริเวณสะพานท่าใหญ่ หมู่ 7 ต.ท่าดี อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ไปขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันและทำมานานแล้ว นายอภินันท์ ซื่อทานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงสั่งการให้นายกิตติพันธ์ เพชรชู นายอำเภอลานสกา และนายธีระพงศ์ ช่วยชู ป้องกันจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยกำนัน ต.ท่าดี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองนำกำลัง อส. เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 5 มี.ค.2557 ที่ผ่านมา
โดยพบว่าคลองท่าดี เป็นลำคลองขนาดใหญ่รับน้ำจากเทือกเขาหลวง ซึ่งในจุดสะพานท่าใหญ่เป็นจุดที่ทางเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช เข้ามาสร้างโรงสูบน้ำเพื่อนำไปใช้ในการผลิตน้ำประปา มีการขุดลอกเป็นแอ่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่และลึกกว่าในจุดอื่น ๆ โดยมีการดูดและตักดินและทรายในคลองจำนวนมากขึ้นมากองไว้ริมตลิ่งกองใหญ่ โดยมีรถแบคโฮของเทศบาลนคร นครศรีธรรมราชกำลังทำงานอยู่บนกองทราย ชาวบ้านในละแวกในพื้นที่ได้ยืนยันว่ามีการลักลอบนำดินและทรายที่ขุดขึ้นมาจากคลองท่าดีบรรทุกรถ 6 ล้อ และ 10 ล้อนำออกไปจำหน่ายนอกพื้นที่ในแต่ละวันที่รถบรรทุกเข้าออกเพื่อบรรทุกทรายไปขายอย่างต่อเนื่อง และทำกันเป็นขบวนการใหญ่มานานหลายเดือนแล้ว มีร่องรอยการขุดตักและบรรทุกดินทรายออกจากพื้นที่อย่างชัดเจน
นายกิตติพันธุ์ เพชรชู นายอำเภอลานสกา เปิดเผยว่า หลังจากการตรวจสอบตนได้รายงานผลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชทราบแล้ว โดยในจุดดังกล่าวเป็นโรงสูบน้ำเพื่อนำไปผลิตน้ำประปาของเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช หากดูตามสภาพโดยทั่วไปถือว่าพบการกระทำความผิดอย่างชัดเจน เข้าข่ายความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ที่ใช้หรือไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ แต่พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบอ้างว่า เป็นการดำเนินการขุดลอกคลองเพื่อให้เป็นแอ่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ผลิตน้ำประปาตามโครงการของเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช
“ในเบื้องต้นจะยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ใด แต่ได้ตรวจสอบ ทำแผนที่พร้อมถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานอย่างละเอียด พร้อมมีหนังสือแจ้งให้ผู้บริหารเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช นำเอกสารหลักฐานการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมาแสดงอย่างเป็นทางการ หากไม่มีเอกสารหลักฐานจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างแน่นอน ส่วนใครจะอยู่ในข่ายกระทำความผิดบ้างหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน”
ในขณะที่นายธีรพงศ์ ช่วยชู ป้องกันจังหวัด กล่าวว่า การเข้าไปดำเนินการสร้างโรงสูบน้ำและทำการสูบน้ำจากบริเวณสะพานท่าใหญ่ คลองท่าดี ของเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช ถือเป็นการดำเนินการกิจการนอกเขตเทศบาล ฯ ที่จะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมทั้งการขุดทรายขึ้นมาจากลำคลองและนำออกไปขายนอกพื้นที่นั้นจะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับพื้นที่ ระดับจังหวัดและระดับกระทรวงด้วยเช่นกัน
“โดยการขออนุญาตตามขั้นตอนนั้นจะต้องดำเนินการตามลำดับชั้น ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ท้อง อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท้องถิ่นอำเภอ และนายอำเภอ จากนั้นจะเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมเจ้าท่า ท้องถิ่นจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น”
นายธีระพงศ์ ช่วยชู กล่าวอีกว่า ในส่วนของการนำทรายออกนอกพื้นที่ จะนำไปจำหน่ายหรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดก็ไม่สามารถกระทำได้ตามอำเภอใจ จะต้องเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามลำดับเช่นกัน เพราะดินหรือทรายที่ขุดขึ้นมาจากลำคลองถือเป็นทรัพย์แผ่นดิน เช่น ขออนุญาตนำดินหรือทรายไปถมที่วัด หรือที่สาธารณประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น หากไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้าข่ายกระทำความผิดร่วมกันลักทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์ของแผ่นดินหรือ “ของหลวง” เป็นความผิดทางอาญา แต่ทางจังหวัดให้โอกาสกับทางเทศบาลนคร นครศรีธรรมราชที่จะนำเอกสารหลักฐานการขออนุญาตและได้รับอนุญาตเข้าชี้แจง และหากพบว่าไม่มีเอกสารหลักฐานการได้รับอนุญาตทางราชการก็จะต้องดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการลักลอบนำดินและทรายที่ขุดขึ้นมาจากคลองท่าดีไปจำหน่ายนั้นมี สท.คนหนึ่งร่วมกับข้าราชการระดับหัวหน้าส่วนคนหนึ่งของเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช เป็นผู้ดำเนินการโดยใช้เครื่องจักรกล วัสดุอุปกรณ์ และน้ำมันของเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช และตัวนายกเทศมนตรีและทีมบริหารอาจจะอยู่ในข่ายที่จะร่วมทำความผิดและถูกดำเนินคดีไปด้วย ซึ่งหากนายอำเภอ ป้องกันจังหวัดและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายก็จะมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ด้วยเช่นกัน.