วันนี้ (29 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี 10/2561 เรื่องให้บุคคลกลับไปดำรงตำแหน่ง หรือปฏิบัติหน้าที่เดิมเมื่อ 4 วันก่อน โดยมีผู้บริหารท้องถิ่น 12 รายได้รับอานิสงส์จากคำสั่งนี้หลังจากถูกคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ระงับการปฏิบัติหน้าที่
โดยหนึ่งในนั้นคื อนายเชาว์นวัศ เสนพงศ์ ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช ซึ่งต้องคำสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ 35/2560 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 โดยน่าเชื่อว่าเป็นผลจากการสอบสวนของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ได้สรุปผลการสอบสวนการทุจริตงบประมาณซ่อมบำรุงสนามกีฬากลางนครศรีธรรมราช ซึ่งถูกร้องมาตั้งแต่ปี 2557 ให้ดำเนินคดีอาญา และแพ่งต่อ นายเชาว์วัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรี พร้อมด้วยข้าราชการและตัวแทนชุมชนรวม 13 คน
แต่นักกฎหมายและผู้ที่ติดตามเรื่องนี้ต่างแสดงความกังขาและสงสัยในคำสั่งที่เรียกทั่วไปว่าคืนตำแหน่งให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่น โดยเฉพาะกรณีของนายเชาวน์วัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช
ซึ่งผู้ร้องให้มีการสอบสวนการทุจริตเรื่องนี้ยืนยันว่า ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในฐานะผู้ร้องคดีแล้วได้รับคำตอบว่า การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ และไม่ทราบว่ามีการคืนตำแหน่งไปได้อย่างไร และยืนยันว่า ป.ป.ช.ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคืนตำแหน่ง ส่วนการสอบสวนคดีทุจริตงบปรับปรุงสนามกีฬากลางนครศรีธรรมราช ยังคงดำเนินต่อไปทั้งยังมีเอกสารหลักฐานในเรื่องนี้
ผู้ร้องให้มีการสอบสวนดำเนินคดีการทุจริตสนามกีฬานครศรีธรรมราช ยังเปิดเผยด้วยว่า ได้ทำหนังสือและสอบถามไปยังนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยหากไม่ได้รับคำตอบจะไปติดตามเรื่องนี้ด้วยตัวเองเนื่องจากมีข้อสงสัยโดยเฉพาะคำสั่งที่ 35/2560 ซึ่งประกาศอยู่ในราชกิจจานุเบกษาเป็นสาธารณะ ของหัวหน้า คสช.มีเนื้อหาในข้อ 9 ตามคำสั่งนี้ ความว่า
กรณีจะเสนอให้นายกรัฐมนตรี หรือ ครม.เปลี่ยนแปลงคำสั่ง หากปรากฏว่าผู้มีรายชื่อยังคงถูกตรวจสอบจาก ป.ป.ช.ให้ ศอตช.รอผลการตรวจสอบจนกว่าจะแล้วเสร็จหรือได้รับแจ้งให้ดำเนินการเยียวยาไปก่อนได้ จึงจะสามารถเสนอนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้
“ผมสงสัยตัวตนของ ศอตช.มีอยู่จริงหรือไม่ และในเมื่อ ป.ป.ช.ไม่ได้แจ้งผลการสอบสวนกลับไปเหตุใดจึงมีการคืนตำแหน่งให้ และในเนื้อหาสาระของการคืนตำแหน่งระบุว่า “ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ที่มีรายชื่อได้ถูกหน่วยงานต้นสังกัดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยุติเรื่องแล้ว ซึ่ง ศอตช.ตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ด้วยแล้วเห็นชอบด้วย” ในวรรคนี้จึงเกิดคำถามว่าหน่วยงานอื่นที่ว่านั้นคือหน่วยงานใดที่เห็นชอบด้วย หาก ป.ป.ช.ยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้นการคืนตำแหน่งเช่นนี้มันขัดกันเอง ต้องถามว่ามีการวิ่งเต้นหรือไม่ ผ่านใคร และมีผลประโยชน์ทางการเมืองใดมาแลกหรือไม่” ผู้ร้องรายนี้ กล่าว
ผู้ร้องให้มีการสอบสวนการทุจริตรายนี้ยังกล่าวด้วยว่า เมื่อติดตามการปราบปรามการทุจริตโดยเฉพาะในคดีที่เข้าไปเป็นผู้ร้องนั้นเสมือนเป็นการพิสูจน์น้ำยาการปราบปรามทุจริตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การออกคำสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ 35/2560 เหมือนเป็นการถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า
และเมื่อคำสั่งคืนตำแหน่งที่ออกมาล่าสุดนั้นน้ำลายที่ขึ้นฟ้าตกใส่หน้าของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง ตนเองได้ส่งหนังสือผ่านขั้นตอนไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว หากไม่ได้รับคำตอบจะไปร้องสอบถามโดยตรงถึงทำเนียบ
ขณะที่ นายอรรคพล หนูทวี นักกฎหมายและทนายความ ได้แสดงความเห็นในเชิงวิชาการว่า ตามคำสั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ 35/2560 มีความชัดเจนอยู่ในตัวเองโดยเฉพาะข้อ 9 และเมื่อมีคำสั่งคืนตำแหน่งเนื้อหาอาจไปขัดกับข้อ 9 อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการสอบสวนของ ป.ป.ช.ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องตอบคำถามจะในฐานะหัวหน้า คสช. หรือนายกรัฐมนตรีก็ได้ว่าเช่นนี้เอื้อประโยชน์กันหรือไม่
นักกฎหมายรายนี้ยังกล่าวด้วยว่า หากจะเอากันแบบนี้ผู้ที่ต้องมาตรา 44 ทั้งหมดจะต้องได้รับคืนตำแหน่งทุกคน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติเช่นนี้ออกคำสั่งที่ขัดกันเอง หากจะอ้างว่ามีการเยียวยาแล้วเหตุใดบุคคลอื่นไม่ได้รับการเยียวยา กระแสผู้ที่อยู่ในลักษณะต้องการสอบสวนที่ยังไม่สิ้นกระแสเช่นเดียวกันกับนายเชาว์นวัศ เสนพงศ์ ทุกคนในทุกคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ยังสอบสวนไม่เสร็จต้องได้รับการคืนตำแหน่งทั้งหมดด้วย
นายอรรครพล ยังกล่าวด้วยว่า ได้นำเอกสารคำสั่งทั้งสองกรณีเสนอให้กับครูกฎหมายเนติบัณฑิต พิจารณาท่านเห็นความขัดแย้งของคำสั่งอย่างชัดเจน คำสั่งคืนตำแหน่งเหมือนถูกร่างออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน รีบมากไปหรือไม่ ถ้ามองในแง่ดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกสอดไส้ให้ลงนามหรือไม่ก็น่าคิดเหมือนกัน
สำหรับการสอบสวนกรณีการทุจริตโครงการปรับปรุงสนามกีฬากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีนายเชาว์นวัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรี ข้าราชการเทศบาลนครนครศรีธรรมราช และผู้เกี่ยวข้องรวม 13 คน ตกเป็นผู้ถูกสอบสวนการทุจริต ซึ่ง สตง.ภูมิภาคที่ 14 นครศรีธรรมราช ได้สรุปผลการสอบสวนชี้มูลการทุจริตอย่างชัดเจนเป็นขั้นตอน ทั้งยังให้มีการดำเนินคดีอาญาและแพ่ง และส่งผลให้นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการการจังหวัดนครศรีธรรมราช ดำเนินการสอบสวนทางวินัย
แต่ผลปรากฏในชั้นการสอบวินัยให้พ้นผิด แต่ในส่วนของ ป.ป.ช.ยังมีการสอบสวนไม่แล้วเสร็จโดยมีการสอบสวนขยายผลในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ พ.ร.บ.การเสนอราคากับหน่วยงานของรัฐ การเอื้อประโยชน์ ส่วนสภาพสนามกีฬากลางนครศรีธรรมราช ยังอยู่ในสภาพทรุดโทรมอย่างหนักเนื่องจาก ป.ป.ช.ยังใช้เป็นหลักฐานสำคัญในคดี ส่วนชาวนครศรีธรรมราชเรียกที่นี่ว่า “อนุสาวรีย์ฉ้อ” มากว่า 3 ปีแล้ว
โดย: ผู้จัดการออนไลน์