ที่ห้องดอกบัว โรงแรมทวินโลตัสนครศรีธรรมราช นายธเนศ ดิษฐปัญญา ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 10 สำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน พร้อมด้วยนายเสกโสม เสริมศรี ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 15 กรมชลประทาน และนายดิศชาต เจนนุวัตร หัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน 2 ส่วนจัดหาที่ดิน 4 สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน กล่าวในการจัดกิจกรรมแถลงข่าวผู้ว่าฯ พบสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ถึงการขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครศรีธรรมราช โครงการวังหีบอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และโครงการอ่างเก็บน้ำคลองสังข์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลกรุงหยัน อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
นายธเนศ ดิษฐปัญญา ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 10 กล่าวว่า สำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 10 รับผิดชอบ 2 โครงการ คือ โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการวังหีบอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำหรับสถานภาพปัจจุบันของโครงการบรรเทาอุกภัยเมืองนครศรีธรรมราช ฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสไว้ตั้งแต่ปี 2531 ได้มีการขับเคลื่อนมาตลอดแต่ยังไม่เป็นรูปธรรม กระทั่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้โครงการดำเนินการแล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 วงเงิน 9,580 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้างที่กรมชลประมาณเสนอไป 6 ปี แต่คณะรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี มีการขุดคลองใหม่ 3 สาย ประมาณ 18 กิโลเมตร ขุดขยายคลองเดิมคือคลองวังวัว คลองหัวตรุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ ซึ่งบางทีมีหลากหลายแนวคิดจากคนในพื้นที่ว่าทำไมไม่เป็นอย่างโน้นไม่เป็นอย่างนี้ ก็กำลังสร้างความเข้าใจกันอยู่ในส่วนที่มีความเห็นต่าง ซึ่งทุกคนมีเจตนาดีอยากจะให้รัฐบาลที่อนุมัติวงเงินมาแล้วใช้เงินให้มีความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อชาวนครศรีธรรมราช ในส่วนของการจัดหาที่ดินทางกรมชลประทานได้มีการปักหลักเขตแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียงเฉพาะส่วนต้นของคลองสาย 1 เท่านั้น อยู่ในเขตตำบลไชยมนตรี ระยะประมาณ 1.3 กิโลเมตร เนื่องจากมีผลกระทบต่อบ้านเรือนบางส่วน แต่ก็มีการจ่ายค่าชดเชย เยียวยาให้ทั้งที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ รวมทั้งการแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีต่อพี่น้องประชาชนต่อเนื่องไปอีก 10 ปี เช่น การส่งเสริมอาชีพด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของพี่น้องประชาชน เป็นต้น
นายธเนศ ดิษฐปัญญา กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการวังหีบ เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริ ที่ทางสำนักงานก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่ 10 รับผิดชอบเช่นกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริเมื่อปี 2533 เกิดจากการทูลเกล้าถวายฎีกาของราษฎรที่ประสบภัยแล้ง ปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าดำเนินการในพื้นที่ได้ เนื่องจากยังมีความไม่เข้าใจของราษฎรบางส่วนในพื้นที่ ส่วนลักษณะของโครงการเป็นเขื่อนถมหินแกนดินเหนียวยาว ยาว 360 เมตร สูง 71 เมตร สันเขื่อนกว้าง 10 เมตร ตั้งอยู่ในตำบลนาหลวงเสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มีพื้นที่ดำเนินการ 828 ไร่ มีพื้นที่น้ำท่วมบริเวณอ่าง 500 กว่าไร่ เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าปลายคลองวังหีบ มีราษฎรเข้าไปอาศัย 70 ราย ซึ่งกรมชลประทานได้ดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าเมื่อปี 2559 แต่ยังไม่สามารถเข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าได้ เนื่องจากยังมีความไม่เข้าใจของราษฎรในพื้นที่ มีพื้นที่ได้รับผลประโยชน์ประมาณ 13,000 ไร่ และเป็นแหล่งน้ำต้นทุนในการผลิตประปาให้อำเภอทุ่งสงประมาณ 5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และน้ำรักษาระบบนิเวศน์ 1 ล้าน ลบ.เมตร น้ำอุปโภคบริโภค 2 ล้าน ลบ.เมตร ช่วยลดอุทกภัยอำเภอทุ่งสงได้ 14 เปอร์เซ็นต์
นายเสกโสม เสริมศรี ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 15 กล่าวว่า สำนักก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 15 เป็นผู้รับผิดชอบโครงการอ่างเก็บน้ำคลองสังข์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ สำหรับความเป็นมาของโครงการนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำคลองสังข์ และทรงเยี่ยมราษฎรในท้องที่อำเภอทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2523 และทรงมีพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาวางแผนโครงการก่อสร้างฝายทดน้ำและอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำคลองสังข์ เพื่อจัดหาแหล่งน้ำให้กับราษฎรในเขตพื้นที่อำเภอทุ่งใหญ่ ได้มีน้ำสำหรับการอุปโภค-บริโภค ทำการเกษตร และการเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ กรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้างฝายคลองสังข์ให้เป้นฝายทดน้ำอย่างถาวรแทนฝายเดิมของราษฎรที่ชำรุดใช้งานไม่ได้ แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2527 และจะเริ่มดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำคลองสังข์ ในบริเวณต้นน้ำเหนือฝายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
นายเสกโสม เสริมศรี กล่าวว่า โครงการอ่างเก็บน้ำคลองสังข์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ หัวงานโครงการตั้งอยู่หมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 8 ตำบลกรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ลักษณะเป็นเขื่อนดิน ทำนบดินกว้าง 8 เมตร ความสูงเฉลี่ยประมาณ 22 เมตร ความยาว 1,557 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 36.575 ล้านลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาสดำเนินการก่อสร้าง 4 ปี (พ.ศ. 2561-2564) สำหรับที่ดินที่ใช้ในการก่อสร้าง จำนวน 6,847 ไร่ แบ่งเป็น 3 พื้นที่ คือ 1.) พื้นที่ป่าไม้ตาม พ.ร.บ. 2484 จำนวน 631 ไร่ ปัจจุบันกรมป่าไม้อนุญาตให้ใช้พื้นที่แล้ว อยู่ในระหว่างกระบวนการจ่ายค่าชดเชย 2.)พื้นที่ ส.ป.ก. 4-01 จำนวน 2,675 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งรัดเสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช พิจารณาการขออนุญาตใช้พื้นที่ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2561 3.)พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 3,541 ไร่ ซึ่งการยางแห่งประเทศไทยใช้ประโยชน์ปลูกยางพารา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเร่งรัดเสนอเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติ หรือเห็นชอบให้ใช้พื้นที่ออกจากพื้นที่ที่อนุมัติให้องค์การสวนยาง เข้าใช้ประโยชน์(มติ ครม. 17 พฤศจิกายน 2513) คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม 2561 และได้ตั้งงบประมาณจ่ายค่าชดเชยไว้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถส่งน้ำไปสนับสนุนช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกของฝายคลองสังข์ที่ก่อสร้างเสร็จแล้วได้ประมาณ 11,200 ไร่ และสามารถเพิ่มพื้นที่รับประโยชน์บริเวณท้ายโครงการประมาณ 10,800 ไร่ โดยการส่งน้ำด้วยท่อ ราษฎรบริเวณพื้นที่รับประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นนี้ สามารถนำน้ำไปใช้ประโยชน์ในการอุปโภค-บริโภค ได้ประมาณ 1,000 ครัวเรือน หรือเพิ่มมากขึ้นตามการขยายตัวของชุมชนในอนาคต นอกจากนี้สามารถบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ท้ายน้ำอ่างเก็บน้ำได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยเฉพาะตัวอำเภอทุ่งใหญ่ซึ่งเกิดน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี
นายดิศชาต เจนนุวัตร หัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน 2 ส่วนจัดหาที่ดิน 4 สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้มีการประชุมคณะกรรมการกำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สินในส่วนของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินราษฎรที่ถูกผลกระทบของโครงการที่อยู่ในเขตอำเภอเมืองฯทั้ง 4 ตำบล คือ ท่าเรือ บางจาก ท่าไร่ และไชยมนตรีแล้ว เป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์มีนายอำเภอเป็นประธาน แต่ในส่วนของที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์มีผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานคณะกรรมการกำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สิน เป็นที่ดินที่อยู่ติดกับคลองวังวัว และคลองหัวตรุด ในกรณีที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ จะมีการอ้างอิงพระราชบัญญัติเวนคืนปี 2530 มาตรา 21 ทั้ง 5 อนุ ในการกำหนดราคาค่าทดแทน คือ 1.)ราคาซื้อขายในท้องตลาด 2.)ราคาเสียภาษีบำรุงท้องที่ 3.) ราคาจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม 4.) ราคาโดยสภาพที่ตั้ง 5.) เหตุและวัตถุประสงค์ของการก่อสร้าง ปัจจุบันได้มีการรังวัดที่ดินให้ราษฎรบริเวณที่ขุดลอกคลองหัวตรุดแล้ว 80 ราย โดยคณะอนุกรรมการจะเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ของราษฎรแต่ละราย ว่าที่ดินถูกผลกระทบกี่ไร่ มีทรัพย์สินอะไรบ้าง มีต้นยาง ต้นปาล์ม มีต้นไม้อะไรบ้าง แล้วจัดทำบัญชีเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยให้ราษฎรต่อไป กรณีบ้านเรือนถ้าได้รับผลกระทบบางส่วนแต่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ก็จะจ่ายให้ทั้งหลัง ในส่วนของสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้มีราคายืนยันชัดเจน ปัจจุบันที่มีปัญหาต้องใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์คือ การสืบเสาะราคาซื้อขายที่ดินในท้องตลาด เพราะกำหนดราคาค่าทดแทนให้ราษฎร ซึ่งทั้งโครงการมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 1,490 แปลง ทางราชการสามารถรับคำขอของราษฎรได้แล้ว 422 แปลง ยังเหลืออีก 1,000 แปลงเศษ ปัจจุบันสามารถรับคำขอได้ทุกวัน เมื่อได้รับคำขอแล้วจะมีการเข้าไปรังวัดที่ดิน ในกรณีรังวัดที่ดินโดยช่างรังวัดของกรมที่ดินแล้ว คณะอนุกรรมการก็จะเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สิน พอได้ราคาจากคณะอนุกรรมการสืบเสาะหาราคาซื้อขายที่ดินในท้องตลาดแล้ว จะมีการประชุมคณะกรรมการที่อำเภอ หลังจากนั้นก็จะเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดประชุมคณะกรรมการเพื่อกำหนดราคาที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์เพื่อจ่ายค่าชดเชยต่อไป ซึ่งในการจ่ายค่าชดชยจะดำเนินการเหมือนกันทั้งสามโครงการ
ส.ปชส.นครศรีธรรมราช